"..การมาทับมิ่งขวัญนี้ เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ต้องเป็นคนจริง ทำจริง พูดจริง เมื่อทำจริง พูดจริงก็ต้องรู้ของจริง จริงๆ.."
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ 12 กรกฎาคม 2530
www.wattubmingkwan.com เวบหลัก วัดทับมิ่งขวัญ เวบนี้เป็นเพียง เวบสำรองครับผู้จัดทำ 9 มิถุนายน 2555

ความมหัศจรรย์ในพระธรรมดา


ความมหัศจรรย์ในพระธรรมดา
                                                       โดย..... นพ.วัฒนา สุพรหมจักร

                ถ้าท่านทั้งหลาย ได้พบหลวงพ่อเทียน  ก็คงจะมีความเห็นคล้ายกันว่าท่านเป็นหลวงตาที่มีความสงบ  และพูดน้อยเช่นเดียวกับหลวงตาที่พบเห็นทั่วๆไป  แต่ถ้าได้สังเกตตัวท่านบ้างก็จะรู้สึกว่า  ท่ามกลางความสงบนั้น  ท่านมีความตื่นต้ว รู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลาและเมื่อมีโอกาสซักถามปัญหาต่างๆ  ก็ได้ประสบกับความมหัศจรรย์ของหลวงตา ผู้ที่เกือบจะเรียกได้ว่าไม่รู้หนังสือ ที่เน้นสอนเรื่องสติอย่างเดียวมาตลอด ได้แสดงออกถึงปัญญาอันหลักแหลม  โดดเด่นในการตอบปัญหา  แทบจะเรียกได้ว่า"เหลือเชื่อสำหรับผู้ที่ไม่เคยผ่านการศึกษาเล่าเรียนในรูปแบบที่เรายอมรับและยกย่องกัน จะสามารถตอบชี้แจงด้วยคำพูดที่ง่าย  กระชับ  เต็มไปด้วยความหมาย เข้าใจได้ชัดเจน  หมดข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น
               ไม่ว่าจะเรียกขานท่านในชื่อใด  สมญานามใดก็ตาม  ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  แต่สิ่งที่ท่านสอนหรือตอบนั้น  แม้ในคำถามพื้นๆธรรมดาที่เราสงสัยก็เต็มไปด้วย
คุณค่า  เปรียบได้ดังกับการจุดไม้ขีดไฟให้สว่างในความมืด  ทำให้เห็นหนทางหรือเกิดความสว่างในปัญญา   อันเป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องการและแสวงหา ที่อยู่ท่าม กลางความมืด ความไม่รู้  ความสงสัย และความไม่เข้าใจทั้งหลายไม่มากก็น้อย
                   คำตอบและข้อคิดเห็นต่อไปนี้ได้จากคำถามที่ข้าพเจ้า   และคณะแพทย์ผู้รักษาได้ถามท่านในช่วงเวลา 5 ปี สุดท้าย ขอบันทึกไว้เพื่อว่าจะเป็นประ โยชน์บ้าง ทั้งนี้ไม่ได้หวังเื่อยกย่องเชิดชู   หรือชักจูงให้เลื่อมใสโดยปราศจาก
วิจารณญาณไตร่ตรอง ซึ่งเป็นเอกสิทธิของแต่ละบุคคลที่เราพึงเคารพ
                                       1. ศาสนา
          หลวงพ่อกล่าวถึงศาสนาว่า "ศาสนาคือคนเมื่อฟังหรืออ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจ จึงถามท่านว่าศาสนา คือ "คนจริงหรือไม่ ท่านตอบว่า  "ศาสนาเป็นเพียงคำที่เราเรียก คำสอน "คนโดย"คนที่ถือว่าเป็นผู้รู้ ไม่หลายอย่างถ้าจะให้พูดเรื่องศาสนา   จะมีแต่ทำให้เกิดข้อสงสัยและโต้เถียงกันขอไม่พูด  แต่ถ้าอยากรู้ว่าความจริงของชีวิตเป็นอย่างไร  จะเล่าให้ฟัง เมื่อรู้แล้วจะหมดสงสัยในคำว่า  "ศาสนา"
                                  2. ทำไมจึงแสวงหาธรรมะ
    ข้าพเจ้าเคยเรียนถามท่านว่า  ท่านมีความบันดาลใจอย่างไร  จึงแสวงหาธรรมะ
ท่านตอบว่า......ท่านเคยทำบุญทำทานมาตลอด  ทอดกฐินอยู่เสมอ  ครั้งสุดท้ายในงานทอดกฐิน  ท่านได้มีปัญหาในเรื่องที่จะทำบุญกับคนในบ้าน  ท่านจึงคิดว่าทั้งๆ ที่ท่านทำบุญให้ทานก็มากแล้ว  ทำไมจึงยังมีความทุกข์เกิดขึ้นได้อีก  ท่านจึงตัดสินใจที่จะแสวงหาธรรมะที่จะพ้นทุกข์ได้ตั้งแต่บัดนั้น"
                                 3. ธรรมะไม่ใช่เสื้อผ้า
          หลวงพ่อเคยกล่าวว่า ท่านเคยมีความเข้าใจผิดคิดว่า"ธรรมะ"เป็นสิ่งนอกกายเหมือนกับเสื้อผ้าที่จะต้องเสาะแสวงหามาห่อหุ้มสวมใส่  แท้ที่จริงแล้วธรรมะนั้นมีอยู่ในตัวเรานี่เอง
                                  4.การศึกษาธรรมะ
            ท่านเคยกล่าวถึงการศึกษาธรรมะว่า  การศึกษาธรรมะเพียงเพื่อเอาไว้พูด และถกเถียงกันนั้นได้ประโยชน์น้อย  เราต้องนำมาใช้และปฏิบัติให้ถึงที่สุด จะได้ประโยชน์มากกว่า"
                                5.เรื่องของพระอานนท์
            ข้าพเจ้ามีความสงสัยตลอดมาว่า  ทำไมพระอานนท์ จึงไม่ได้เป็นพระอรหันต์   ทั้งๆที่ได้ยินได้ฟ้ง   รู้คำสอนของพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าใครๆ
           หลวงพ่อตอบว่า......  "พระอานนท์รู้เรื่อง     พระพุทธเจ้ามากก็จริง  แต่ยังไม่รู้จักตนเอง  เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ได้เรียนรู้ตนเอง  จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
                            6.หลวงพ่อเทียนสอนแบบฉีกตำรา?
          ข้าพเจ้าได้เรียนถามท่านว่า  คนทั่วไปย่อมยึดถือพระไตรปิฎกเป็นตำราในการศึกษาพุทธศาสนา  แต่เวลาหลวงพ่อสอนไม่ค่อยเห็นพูดถึงเลย  ท่านให้ความเห็นว่า"พระไตรปิฎกนั้นจารึกหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานหลายร้อยปี  และคัดลอกต่อกันมานับพันปี  คนเขียนคงเขียนดีแล้ว แต่คนอ่านจะเข้าใจเหมือนคนเขียนหรือไม่  ยังสงสัย ถ้าจะเอาแต่อ้างตำรา ก็เหมือนกับว่า  เราต้องรับรองคำพูดของคนอื่น  ซึ่งหลวงพ่อไม่แน่ใจ แต่สิ่งที่เล่าให้ฟ้งนั้น  ขอรับรองคำพูดของตัวเอง เพราะจากประสบการณ์จริงๆ"  "ตำราเปรียบเสมือนแผนที่  เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ทางไป หรือยังไปไม่ถึงจุดหมายผู้ที่ไปถึงแล้วแผนที่ก็หมดความหมาย พระไตรปิฎกเขียนด้วยภาษาอินเดีย เหมาะสำหรับคนอินเดีย หรือคนเรียนภาษาอินเดียอ่าน  แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เรื่องผูกขาดของคนใดคนหนึ่ง  เป็นเรื่องอยู่เหนือภาษาเชื้อชาติเพศและเวลาถ้าเรารู้ธรรมะที่แท้จริงแล้วจะต้องรู้และเข้าใจในภาษาของเราได้"      "การศึกษาพระไตรปิฎกนั้นดี  แต่อย่าให้ ติด และ เมา ในตัวหนังสือ  มะม่วงมีชื่อเรียกหลายอย่างหลายภาษา อย่ามัวแต่ถกเถียง ตีความ หรือยึดถือว่าจะต้องเรียกอย่างไร  แล้วปล่อยให้มันเน่า  ใครที่ได้กินมะม่วงก็ย่อมรู้ว่า  รสมะม่วงเป็นอย่างนั้นเอง  ไม่ว่าจะเรียกชื่ออะไร  หรือไม่มีชื่อเลยก็ตาม
                                    7. หลงในความคิด
            หลวงพ่อเคยกล่าวว่า คนเรานั้น คิดอยู่เสมอเหมือนกระแสน้ำ  การหลงติดกับความคิดก็เหมือนการตักน้ำมาเก็บไว้  แต่ถ้ามี สติ รู้เท่าทัน ความคิดนั้นๆ ก็เหมือนกับน้ำที่ไหลมา แล้วก็ไป  การหลงติดในความคิด  ทำให้เกิดทุกข์
                                          8. ทุกข์
              เคยมีคนถามท่านว่า ทุกข์คืออะไร  ท่านได้เอาของใส่มือให้กำไว้  แล้วคว่ำมือและแบมือ  ท่านได้ชี้ไปที่ของซึ่งหล่นจากมือไปสู่พื้นว่า  "นี่คือทุกข์"  ถ้าถามก็เข้าใจทันที่ว่า  ทุกข์เป็นสิ่งสมมติที่เราสร้างขึ้น  และยึดถือไว้  ปล่อยวางไม่ได้  ท่านได้กล่าวถึงผู้ที่เข้าใจโดยเร็วนี้ว่า  "เป็นผู้มีปัญญา"
                                     9. เชือกขาดเป็นอย่างไร
             เมื่อได้อ่านประสบการณ์ของท่านที่กล่าวว่า  ในช่วงสุดท้ายมีความรู้สึกเหมือนเชือกขาด จากนั้น เข้าใจได้ยาก  ท่านได้อธิบายเพิ่มเติมว่า
            คำพูดเป็นเพียงการสมมติว่าสิ่งนั้นๆ หมายถึงอะไร มันไม่มีคำพูดที่จะอธิบายภาวะดังกล่าว ถ้าเราเอาสีขาวกับสีดำซึ่งห่างกันเพียง เซนติเมตร  ค่อยๆผสมให้กลืนกัน ตรงกลางเราเรียกว่าสีเทาใช่ไหม  แต่ถ้าหากสองสีนี้ห่างกัน 10 เมตร แล้วให้สีทั้งสองค่อยๆกลืนกัน  จะให้อธิบายว่าจุดๆหนึ่งระหว่างนั้นเรียกว่าสีอะไร มันไม่มีคำพูดจะกล่าวให้เข้าใจ ต้องรู้เห็นเอง เคยเห็นเมฆหน้าฝนไหม  มองดูคล้ายเป็นรูปเงาต่างๆ  แต่ถ้าเรานั่งเครื่องบินเข้าไปอยู่ในก้อนเมฆนั้นๆ เราไม่
เห็นก่อนเข้ามาดอก  ภาวะดังกล่าวไม่มีคำพูดที่จะอธิบาย  มันอยู่เหนือตัวหนังสือ
การประมาณคาดคะเน หรือเข้าใจไปเองว่าจะเป็นอย่างนี้  ต้องรู้เองเห็นเอง"
                               10.  ปัญหาปลีกย่อย
 หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟ้งว่า  คนจำนวนไม่น้อยที่มาหาท่านแล้วถามแต่ปัญหาปลีกย่อย เช่น ทำบุญเช่นนี้ได้บุญแค่ไหน  ชาติหน้ามีจริงหรือไม่...ฯลฯ  มีน้อยครั้งที่จะมีคนถามว่า  พุทธศาสนาสอนอย่างไร  จะเอาไปใช้ได้อย่างไร  หรือที่จะทำให้ทุกข์น้อยลง ควรทำอย่างไร  ครั้นจะให้หลวงพ่อถามเองตอบเอง  ก็ดูกะไรอยู่
                                   11. จริง สมมติ
           ท่านกล่าวว่า คนมีอายุยืน มีความจำและความคิดมากว่าสัตว์ ครั้นอยู่กันเป็นหมู่มาก จำเป็นต้องตั้ง หรือสมมติกฎเกณฑ์ขึ้นมา  เพื่อให้มีความสงบสุขในสังคม   เมื่อเวลาผ่านไป  คนรุ่นหลังย่อมหลง  ยึดว่าสิ่งสมมตินั้นเป็นความจริง เมื่อมีคนบอกว่าสิ่งที่เราว่าจริงนั้น  แท้จริงแล้วมันเป็นสิ่งสมมติ  คนส่วนใหญ่จะไม่เชื่อ ซึ่งก็เป็นธรรมดา"ที่เรียกว่าเงินนั้น  ที่จริงแล้วเป็นกระดาษ  เมื่อใช้แล้วมีคนยอมรับจึงมีค่า ถ้าไม่ยอมรับก็เป็นกระดาษ  ในสังคมปัจจุบัน เราใช้เงินเป็นตัวกลางเพื่อแลกเปลี่ยน  ชีวิตในครอบครัวใดไม่มีเงิน  จะอยู่ได้ด้วยความเดือดร้อน  เงินชื้อความสะดวกและความพอใจได้  แต่ชื้อความหมดทุกข์ไม่ได้
                                    12. การปฏิบัติธรรม    
          เคยถามท่านว่าทำไมการสอน และการปฏิบัติธรรม จึงมีความแตกต่างกัน
ไปตามสำนักต่างๆ ทั้งๆที่มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน  ท่านตอบว่า
       "เรื่องนี้เป็นธรรมดา  แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีคนกล่าวว่ามีตั้ง 108 สำนัก แต่ละแห่งก็ต้องว่าของตัวถูกต้อง อีก 107 แห่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ตัวเราเองจะต้องเป็นคนไตร่ตรองพิจารณาเอง การที่เป็นคนเชื่อง่าย หรือเป็นคนเชื่อยาก ไม่ฟังคนอื่น 
ต่างก็ไม่ดีทั้งนั้น ถ้าการปฏิบัติดังกล่าวทำให้ทุกข์หมดไป  ถือว่าใช้ได้  สำหรับเรื่องธรรมะนั้น  คนที่รู้ธรรมะที่แท้จริง จะต้องรู้อย่างเดียวกัน  เมื่อมีคนถามถึงการปฏิบัติธรรมะในรูปแบบอื่นๆ ว่าดีหรือไม่ท่านกล่าวว่า "ดีของเขา ไม่ใช่ดีของเรา"
                               13. วิปัสสนาแล้วเป็นบ้า
               ได้เรียนถามท่านว่า การนั่งวิปัสสนาทำให้คนเป็นบ้า ตามที่มีจิตแพทย์
บางคนกล่าว จริงหรือ ท่านตอบว่า
               คนที่ไม่รู้จักจิตใจตัวเองนั้นแหละคือคนบ้า  การนั่งวิปัสสนา เป็นการ
ศึกษาให้รู้จักจิตใจตัวเอง ถ้านั่งแล้วเป็นบ้า  ไม่ใช่วิปัสสนา"
                                      14.  นิพพาน
            ท่านเคยเล่าให้ฟ้งว่า  เคยถามโยมผู้ที่เคยอธิษฐานหลังการทำบุญว่าขอให้อานิสงส์ การทำบุญทำให้เขาเข้าถึงนิพพานในอนาคตกาลด้วยนั้นว่า ท่านถามว่า"โยมเข้าใจว่าจะไปถึงนิพพานเมื่อใด"ชาวบ้านตอบว่า"เมื่อตายไปแล้วท่านถามว่า"อยากไปถึงนิพพานจริงๆหรือ"
             ชาวบ้านตอบว่า "อยากไปจริงๆ"  ท่านจึงพูดว่าถ้าเช่นนั้นโยมควรตายเร็วๆ   จะได้ถึงนิพพานไวๆ     ชาวบ้านตอบด้วยความงงว่า "ยังไม่อยากตาย"
ท่านจึงชี้แจงให้ฟ้งว่า" ........  
             นิพพานก็อยากไป แต่ทำไมไม่อยากตายเร็ว นี่โยมเข้าใจผิดแล้ว  พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้คนไปนิพพานเมื่อตายแล้ว  แต่สอนคนเป็นๆให้ไปถึงนิพพานขณะที่มีชีวิตอยู่"
                                       15. ทำไมจึงบวช
              ตามที่ทราบ  ท่านได้รู้ธรรมะตั้งแต่เป็นฆราวาส  ทำไมท่านจึงบวช  ท่านตอบว่า  "พระภิกษุเป็นสมมติสงฆ์  การบวชทำให้สอนคนได้ง่ายขึ้น"
                                      16. หินทับหญ้า
                 ข้าพเจ้าเคยถามเรื่องการนั่งสมาธิหรือกรรมฐานว่าเป็นอย่างไร 
ท่านตอบว่า........... "การนั่งสมาธิมีมาก่อนสมัยพุทธกาล  ทำให้เกิดความสงบชั่วคราว  เมื่อออกมาจากสมาธิก็ยังมีความโลภโกรธหลงอยู่  จิตใจไม่เปลี่ยน เปรียบเหมือนกับหินทับหญ้า  แม้หญ้าจะฝ่อลง เมื่อหญ้าต้องแสงอาทิตย์ หญ้าก็งอกขึ้นมาอีก  ต่างกับวิปัสสนาที่ทำให้เกิดปัญญา  จิตใจเปลี่ยนแปลงดีขึ้น"
                                     17. พระเวสสันดร
              เคยเรียนถามว่าเรื่องพระเวสสันดร  ซึ่งเป็นตัวอย่างทานบารมี   แต่ดู
คล้ายกับว่าเป็นคนไม่รับผิดชอบ ต่อบุตรภรรยา  การให้ทานเช่นนี้ทำให้เป็นพระพุทธเจ้าจริงหรือ  ท่านตอบว่า "เรื่องพระเวสสันดรเป็นเรื่องเล่าต่อกันมา ถ้าเราคิดว่าจริง เราควรบริจาคทานภรรยา และลูกของเราเองให้แก่กรรมกร หรือชาวนาไปช่วยเขาทำงานแล้วเราก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า  ถ้าจะเปรียบเทียบใหม่ว่า  สิ่งที่ติดตัวเรา  ผูกพันเหมือนบุตรภรรยาก็คือ  ความโลภความโกรธ และความหลง  เรา
บริจาค หรือทานสิ่งนี้ไปเสีย จะพอเข้าใจได้ไหม"
                                      18. การเชื่อ
         หลวงพ่อได้กล่าวอยู่เสมอว่า  เราไม่ควรด่วนเชื่อทันที และไม่ควรปฏิเสธทันทีเช่นกัน  ควรพิจารณาไตร่ตรองให้ดี  หรือทดลองเสียก่อน จึงจะเชื่อได้หรือไม่เชื่อ  ในพุทธประวัติก็มีตัวอย่าง เช่น องคุลีมาลเป็นคนที่เชื่อง่าย  อาจารย์สั่งให้ฆ่าคนตั้งมากมายก็ยังทำ  หรือเมื่อปริพาชกพบพระพุทธเจ้า  ทั้งๆที่พระองค์มีลักษณะน่าเลื่อมใส  แต่ก็ไม่เชื่อว่าพระองค์ตรัสรู้ได้ด้วยตัวเอง  จึงหลีกไปไม่มีโอกาสได้ศึกษาจากพระพุทธเจ้า,
                                    19. ผู้ที่เข้าใจท่านพูด
               เคยถามท่านถึงจำนวนผู้ที่เข้าใจ  หลังจากที่ได้แสดงธรรม  หรืออบรมว่ามีสักเท่าใด ท่านว่า   "คงจะได้สัก10-15% เรื่องนี้เป็นธรรมดา  คนที่พร้อมจึงจะเข้าใจได้ คนส่วนใหญ่ติดการทำบุญ   
                              20.  คนรักษาศีล หรือ ศีลรักษาคน
                 ทำไมจึงต้องคอยรักษาศีล  เหมือนรักษาแก้วไม่ให้มันแตก ทำไมเราจึง
ไม่ประพฤติปฏิบัติตัวให้มีศีลเล่า  ศีลจะได้รักษา  แล้วจะได้ไม่ห่วงคอยรักษาศีล
                                           21. บุญ
             เมื่อข้าพเจ้าถามท่านว่า  "ทำบุญได้บุญจริงหรือท่านได้ถามว่า "เข้าใจว่าบุญเป็นอย่างไร"  เมื่อเรียนให้ท่านทราบว่า  บุญนั้นเข้าใจว่าเป็นผลดี  ตอบแทนเมื่อเราตายไปแล้ว  ท่านถามว่า  "เคยฟ้งพระสวดอานิสงส์การทอดกฐินหรือไม่  ที่ว่าจะได้วิมานและนางฟ้าเป็นบริวารห้าร้อยองค์  หรือพันองค์ จงคิดดูว่าวัดในเมืองไทยมีกี่วัด  ถ้ามีการทอดกฐินทุกวัด  ทุกปีจะไปหานางฟ้าที่ไหนมาให้จึงจะพอ  เราคิดว่าพระเป็นเสมือนพนักงานธนาคาร  ที่คอยคิดดอกเบี้ยให้เวลาตายอย่างนั้นหรือข้าพเจ้าได้ถามท่านต่อว่า ถ้าเช่นนั้นการทำบุญด้วยวัตถุอย่างที่เป็นอยู่ทั่วไปนั้น  ท่านเห็นเป็นอย่างไร ท่านตอบว่า 
      "การทำบุญด้วยวัตถุก็เป็นสิ่งที่ดี แต่เป็นเพียงข้าวเปลือกเอาไว้ทำพันธุ์  ถ้าเราจะกินให้ได้ประโยชน์  ต้องกินข้าวหุงหรือข้าวนึ่งสุก  ไม่ใช่ข้าวสาร หรือข้าวเปลือกการหลงติดอยู่กับการทำบุญด้วยวัตถุอย่างงมงาย  เป็นความหลงที่อยู่ในความมืดที่เป็นสีขาว"
                   "บุญเหนือบุญก็คือ  การรู้จักตัวเอง ไม่มีทุกข์นี้แหละ"
                                    22.  หนา
               ข้าพเจ้าเคยนิมนต์ท่านให้ไปสอนผู้ที่เคารพนับถือท่านหนึ่ง  ที่ติดและเลื่อมในในการทำบุญตามประเพณีมาก เมื่อได้ถามท่านหลังจากที่ท่านกลับมาแล้ว  ท่านตอบว่า "โยมคนนี้เป็นคนหนา  เราเคยอ่านพุทธประวัติหรือไม่  เมือพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ  ก่อนที่จะไปโปรดปัญจวัคคีย์  พระองค์ได้ระลึกถึงอุทกดาบสและอาฬารดาบส แต่แล้วก็ทราบว่าท่านทั้งสองได้ตายเสียแล้ว หลวงพ่อสงสัยว่าพึ่งจากกันไม่นาน จะตายทางร่างกายหรือไม่นั้น ยังสงสัย  แต่ที่ตายแน่ๆ คือความคิด
                                  23. สมณศักดิ์
               เคยถามท่านว่าสมัยพระพุทธเจ้าไม่มีสมณศักดิ์  แต่ทำไมปัจจุบันในเมืองไทยจึงมีมากนัก ดีหรือไม่ดี  ท่านตอบว่า  "สมณศักดิ์เป็นเรื่องของสังคม  จะเรียกว่าดีก็ได้  หรือไม่ดีก็ได้  แต่เราอยู่ในสังคมของเขา"
                          24. การศึกษาทำให้คน ดีชั่วจริงหรือไม่?
              เคยถามว่า  ทำไมผู้ที่เคยบวชเรียนมามาก  บางคนเมื่อสึกไปแล้ว กลับประพฤติตัวเหลวไหล  ยิ่งกว่าชาวบ้านที่ไม่เคยบวชเรียนเลย  หลวงพ่อตอบว่า
               "คนเหล่านั้นเรียนแต่ตัวหนังสือ  ไม่เคยเรียนรู้ตัวเอง"
                                   25. กราบผ้าเหลือง
               ข้าพเจ้าเคยกล่าวกับท่านว่า  เราเองไม่ทราบว่าพระองค์ไหนจะเป็นพระแท้หรือเป็นเพียงกาฝากของศาสนา  เพียงเห็นผู้ที่โกนศีรษะห่มผ้าเหลืองก็กราบแล้ว ท่านให้ความเห็นว่า  "ถ้าหากจะกราบเพียงผ้าเหลือง  เวลาผ่านไปแถวเสาชิงช้า  มิต้องกราบตามร้านที่ขายเครื่องพระ  ตั้งแต่หัวถนนจดท้ายถนนหรือ"
                                          26. มงคล
            ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า  ท่านเคยถูกนิมนต์ไปเพื่อสวดมงคลในร้านหลังหนึ่ง  ท่านขอร้องให้เอากาละมังขนาดใหญ่ใส่น้ำ  เพื่อจะทำน้ำมนต์แทนบาตร  หลังจากท่านได้ทำให้แล้ว  ท่านกลับเอาน้ำมนต์ในกาละมังสาดไปทั่วบ้านแล้วบอกว่า
             "ช่วยกันเก็บช่วยกันถู  อันนี้แหละเป็นมงคล  การที่เราใช้น้ำมนต์ปะพรมตัวเราอาจจะแพ้ลูกไม้ใบหญ้าที่ใส่ไว้ในน้ำมนต์  มีอาการผื่นคันขึ้นมาต้องเปลืองเงินทองชื้อหยูกยารักษาอีก แล้วมันจะเป็นมงคลได้อย่างไร"
                                     27. บังสุกุล
           เคยถามท่านว่า "เวลาเราบังสุกุลให้ผู้ตาย  เขาได้หรือไม่ท่านตอบว่า "การบังสุกุลเป็นเพียงประเพณีที่คนอยู่ทำขึ้น  เนื่องจากยังห่วงใยในคนที่ตายไป  แล้วที่ว่าคนตายจะได้หรือไม่  ยังสงสัย แต่ผู้ที่ได้แน่ๆ คือพระ เราคิดว่าพระทำหน้าที่แทนบุรุษไปรษณีย์ได้หรือ ?"
                                   28. พระกราบโยม                
              ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า  เมื่อท่านไปประเทศลาว  ได้รับนิมนต์สวดต่ออายุให้แม่ของชาวบ้านหลวงพ่อไม่สวด   เจ้าภาพเขาจึงไม่ถวายจตุปัจจัย   หลวงพ่อได้ชี้แจงเรื่องการต่ออายุพ่อแม่ว่า  ต้องกระทำดีต่อพ่อแม่  ไม่ใช่เพียงแต่มีการสวดมนต์  แล้วหวังจะให้พ่อแม่มีอายุยืน และได้พาลูกๆ กราบพ่อแม่เป็นครั้งแรกตามท่าน  ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ฮือฮากันว่าผิดประเพณี  ไม่เคยเห็นพระกราบโยม  ซึ่งหลวงพ่อกล่าวว่า        ที่อาตมาพาลูกกราบแม่ตามอาตมานั้น  อาตมาไม่ได้กราบโยม แต่อาตมากราบตัวเองที่สามารถสั่งสอนคนให้เข้าใจได้ว่า  การต่ออายุที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร"  
                                    29.  ศาลพระภูมิ
                เมื่อข้าพเจ้าได้ถามถึงเรื่องเจ้าที่  ศาลพระภูมิว่ามีอิทธิฤทธิ์ให้คุณให้โทษแก่เจ้าของบ้าน  จริงหรือไม่ ท่านตอบว่า
              "จงคิดดู  ถ้าเจ้าที่นั้น มีอิทธิฤทธิ์จริงแล้ว  ทำไมจึงไม่เนรมิตบ้านอยู่
เอง  เนรมิตอาหารกินเอง  ทำไมจึงต้องคอยให้คนสร้างให้  หรือคอยอาหารเซ่นไหว้ซึ่งน้อยนิดเดียว จะกินอิ่มหรือ"
                                     30.  พระเครื่อง
               ก่อนที่จะทราบว่าท่านเป็นใคร  ข้าพเจ้าได้พบท่านในขณะที่ข้าพเจ้าได้สนใจพระเครื่องเป็นอย่างยิ่ง  ได้เอาพระนางพญาพิษณุโลกมาอวด  เพื่อที่จะได้ถือโอกาสขอพระเครื่องจากท่าน โดยอวดว่า  พระนางพญาพิษณุโลกนี้เป็นพระเครื่องที่เก่าแก่ สร้างมาตั้ง 700 ปีแล้ว  ท่านถามว่า  "พระองค์นี้ทำจากอะไร"  เมื่อข้าพเจ้าตอบว่า  ทำจากเนื้อดินเผา แกร่ง สีเนื้อมะขามเปียกมีแร่ต่างๆปรากฎอยู่เต็ม  ท่านตอบด้วยความสงบว่า  "ดินนั้นเกิดมาพร้อมกันตั้งแต่สร้างโลก  พระองค์นี้ ไม่ได้เก่าแก่ไปกว่าดินที่เราเหยียบก่อนเข้ามาในบ้านนี้หรอก"
เพียงประโยคเดียวที่ทำให้ข้าพเจ้าถอดพระเครื่อง  ออกจากตนได้อย่างมั่นใจที่สุด
                มีคนถามท่านว่าแขวนพระดีหรือไม่  ท่านตอบว่า "ดี แต่มีสิ่งที่ดีกว่าแขวนพระ จะเอาไหม"    ในโอกาสหนึ่งมีคนถามเรื่องเครื่องรางของขลังของเขาว่า  มีอานุภาพตามที่เล่าลือหรือไม่   ท่านถามว่า   "คนทำตายหรือยัง"   เมื่อตอบว่าคนที่ทำได้ตายแล้ว  เพราะเป็นของมรดกตกทอดกันมา  ท่านตอบว่า "คนที่ทำยังตายเลย  แล้วเราจะหวังสิ่งนี้ ช่วยไม่ให้เราตายได้อย่างไร"   
                                     31. บวช-สึก           
                เมื่อข้าพเจ้าได้ผ่าตัดกระเพาะอาหารท่านออกเกือบหมด  และได้แนะนำให้ท่านฉันอาหารจำนวนน้อยแต่บ่อยๆ ท่านเคยปรารภว่า
                "ท่านปฏิบัติเช่นนี้ วินัยหย่อน จะมีคำครหาได้  อยากไปขอสึก เพราะ
 ท่านจะเป็นพระ หรือไม่ ก็ไม่ต่างกัน จิตใจของท่านไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว"
                                32.  รู้จักหลวงพ่อเทียนไหม ?
           ท่านเคยเล่าให้ฟ้ง เมื่อตอนที่ท่านกำลังคอยรับการฉายรังสีที่โรงพยาบาล
 รามาธิบดี มีคนถามท่านว่า "หลวงพ่อรู้จักหลวงพ่อเทียนไหม"  ท่านตอบว่า "พอรู้จักบ้างหลังจากที่ได้พูดคุยเรื่องธรรมะกับท่านแล้ว  คนนั้นก็สงสัยจึงถามอีกว่า "ท่านคือ หลวงพ่อเทียนใช่ไหมหลวงพ่อจึงตอบว่า "ใช่"
                                    33. เรื่องของพระพุทธเจ้า
             เคยมีการกล่าวถึงปัญหาพระบรมสารีริกธาตุว่าเป็นแก้วผลึก หรือเป็นเพียงกระดูกที่ไฟเผา  เมื่อได้ขอความเห็นท่านกลับตอบว่า     "เรื่องของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องของเรา  เรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า   แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้จักเรื่องของเราเมื่อรู้ตัวเองดีแล้ว   ถึงพระพุทธเจ้าจะเสร็จมาหรือไม่ก็ไม่เป็นปัญหา"
                                      34. อริยบุคคล
                หลวงพ่อกล่าวว่า  "ในทางร่างกายอริยบุคคลกับคนธรรมดานั้นไม่ต่างกันมีแต่เรื่องจิตใจเท่านั้นที่อริยบุคคลดีกว่า  เหนือกว่าบุคคลธรรมดา"  
                                     35. ตามใจคนอื่น
        เคยถามหลวงพ่อว่า  คนเดี๋ยวนี้มีการศึกษาก็มาก  แต่ทำไมจึงยังแก้ทุกข์ไม่ได้  ท่านตอบว่า  "คนส่วนใหญ่ทำตามใจคนอื่น  ไม่ทำตามใจตัวเองจึงเป็นเช่นนี้"
                             36. คนตายทำประโยชน์ได้น้อย
        ท่านได้พูดถึงการศึกษาปฏิบัติธรรมะว่า  ควรทำตอนชาตินี้  ไม่ควรคอยตอนตายแล้ว   "คนตายแล้วทำประโยชน์ได้น้อย คนเป็นทำประโยชน์ได้มากกว่า"
                                 37. การไม่กินเนื้อสัตว์
                   เคยเรียนถามท่านว่า  การไม่กินเนื้อสัตว์ทำไห้การปฏิบัติธรรมะดีขึ้น หรือไม่  ท่านตอบว่า   "การที่จะรู้หรือปฏิบัติธรรมะ  ไม่ได้ขึ้นกับการกินอะไร  หรือไม่กินอะไร ดูอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ  ซึ่งอย่าว่าแค่เนื้อเลย  แม้การนั่งอดข้าวอดน้ำจนเกือบตายก็ยังไม่รู้ธรรมะ  เรื่องนี้เป็นเรื่องของปัญญา   
                                       38. ติดสมาธิ
                  ท่านเคยกล่าวเตือนว่า  "การที่ติดอยู่กับรูปแบบของสมาธิ จะเป็นวิธีใดก็ตาม  เหมือนกับการนั่งเรือข้ามฟาก   แล้วไม่ยอมขึ้นจากเรือ   ทั้งๆที่เรือถึงฝั่งตรงกันข้ามแล้ว  เพราะยังหลงสนใจในตัวเรือ  เครื่องเรืออยู่"
                                       39.  ทำดี ทำชั่ว
                เคยถามท่านว่า มีคนสงสัย ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว จริงหรือไม่  ท่านให้
ความเห็นว่า  ดีชั่ว เป็นเรื่องของสังคมกำหนด ดีในที่หนึ่ง  อาจจะเป็นชั่วอีกที่หนึ่ง
   เราควรพูดให้เข้าใจใหม่ว่า   "ทำดีมันดี  ทำชั่วมันชั่ว"
                                        40. นักศึกษา
                หลวงพ่อเคยเปรียบเทียบว่า  คนที่ได้รับการศึกษานั้นมี  จำพวก
  พวกแรกเป็นผู้ที่รู้แจ้ง  หรือรู้จริง เป็นบัณฑิต พูดแล้วเข้าใจได้เลย  อีกพวกหนึ่งเป็นเพียงผู้รู้จักและรู้จำ  ซึ่งเวลาพูดจะพูดมาก  คำพูดอ้อมค้อม  ฟุ่มเฟือย หรือไม่ก็อ้างตำรามากมาย เพื่อชักจูงให้คนเชื่อ    ทั้งนี้เพราะตัวเองไม่รู้จริง
                         
                               41. อดีต ปัจจุบัน อนาคต
                    ท่านกล่าวอยู่เสมอว่า  อดีตผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้  อนาคตก็ยังมาไม่ถึง มีแต่ปัจจุบันนี้  ที่เรายังทำอะไรได้ ถ้าทำดีวันนี้ วันนี้ก็จะเป็นอดีตที่ดีของวันพรุ่งนี้ วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นอนาคตที่ดีของวันนี้ที่ทำดีแล้ว  จะไปห่วงอะไรกับสิ่งที่แก้ไขไม่ได้  และสิ่งที่ยังมาไม่ถึงที่แก้ทุกข์ในปัจจุบันนี้ไม่ได้

                                        42.  อธิษฐาน
              ข้าพเจ้าเคยถามท่านว่า  ตอนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ  หลังจากได้ฉันอาหารของนางสุชาดาแล้วได้ลอยถาด  ปรากฏว่าลอยทวนกระแสน้ำ  ซึ่งดูผิดธรรมชาติท่านมีความเห็นเป็นอย่างไร  ท่านชี้แจงว่า  "ของทุกอย่างย่อมลอยตามกระแสน้ำ  เรื่องนี้เป็นการทวนกระแสความคิดที่มีอู่  และเป็นอยู่   ถ้าเราคิดย้อนกลับขึ้นไปบ้าง  ก็จะรู้ความจริงว่าเป็นอย่างไร"
                                    43. ทำงานอย่างมีสติ
              หลวงพ่อกล่าวอยู่เสมอว่า  "คนเรามีหน้าที่  ที่จะต้องทำในสังคมที่ตนอยู่  เป็นธรรมดาการปฏิบัติหน้าที่ โดยมีสติจะได้ผลงานที่สมบูรณ์"
                                      44.  แสงตะเกียง
              ในระยะหลังๆ ที่หลวงพ่อสุขภาพไม่ค่อยดี  ภรรยาของข้าพเจ้าได้ปรารภกับท่านด้วยความเป็นห่วงเรื่องการสอนธรรมะ  หลังจากที่ท่านจากไปแล้วว่าจะเป็นอย่างไร  ท่านตอบว่า   "เรื่องนี้อย่าเป็นห่วงเลย   ตราบใดที่ยังมีคนอยู่ก็จะมีคนรู้ธรรมะเกิดขึ้นเป็นคราว  เพราะธรรมะไม่ใช่  เรื่องผูกขาดเป็นของส่วนตัว  ธรรมะมีมาก่อนสมัยพุทธกาล  แต่พระพุทธเจ้าเป็นคนแรก  ที่ทรงนำมาสอนและเผยแพร่  คนที่รู้ธรรมะนั้น  เปรียบได้เหมือนกับตะเกียงที่จุดสว่างขึ้นในความมืด  คนที่อยู่ใกล้จะเห็นชัด  คนที่อยู่ไกลก็เห็นชัดน้อยลง   สักพักหนึ่งตะเกียงจะดับไปและจะมีการจุดตะเกียงให้สว่างขึ้นอีกเป็นครั้งคราว"
                                      45. เรียนกันใคร
               ในการเข้ารักษาตัวครั้งสุดท้ายที่โรงพยาบาลสมิติเวช  ท่านปรารภว่าการเจ็บป่วยคราวนี้เป็นเรื่องที่หนัก    ท่านเองก็ได้แต่เฝ้าดูลมหายใจ  ของตนเองว่าจะหยุดเมื่อใด  ข้าพเจ้าจึงได้ถามตรงๆ  ว่าเมื่อสิ้นหลวงพ่อแล้วจะแนะนำให้ศึกษาธรรมะกับใคร  จึงจะได้ผลดีที่สุด ท่านตอบว่า
             "จงศึกษาธรรมะจากตัวเอง  ดูจิตใจตัวเองดีที่สุด"
  ÉÉÉÉÉÉÉ   [[[[[[[[[[[     ÊÊÊÊÊÊÊ