"..การมาทับมิ่งขวัญนี้ เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ต้องเป็นคนจริง ทำจริง พูดจริง เมื่อทำจริง พูดจริงก็ต้องรู้ของจริง จริงๆ.."
หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ 12 กรกฎาคม 2530
www.wattubmingkwan.com เวบหลัก วัดทับมิ่งขวัญ เวบนี้เป็นเพียง เวบสำรองครับผู้จัดทำ 9 มิถุนายน 2555

ทำวัตรเช้า


É ภาค ๒ ทำวัตรเช้า Ê
                               1. พุทธาภิถุติง
 (หันทะ  มะยัง  พุทธาภิถุติง  กะโรมะ เส.)

โย โส ตะถาคะโตพระตถาคตเจ้านั้น พระองค์ใด,
อะระหัง,            เป็นผู้ไกลจากกิเลส,
สัมมาสัมพุทโธ,    เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง,
วิชชาจะระณะสัมปันโนเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ,
สุคะโต,                 เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี, 
โลกะวิทู,               เป็นผู้รู้โลกอย่าง แจ่มแจ้ง,
อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษ
                       ที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า,
สัตถา เทวะมะนุสสานัง,  เป็นครูผู้สอน ของเทวดา
                             และมนุษย์ทั้งหลาย,
พุทโธ,                  เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม,
ภะคะวา,               เป็นู้มีความจำเริญ จำแนก
                             ธรรมสั่งสอนสัตว์,
โย อิมัง  โลกัง สะเทวะกัง  สะมาระกัง  สะพรัหมะกัง,   
สัสสะมะณะพราหมะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง
อะภิญญา สัจฉิ  กัตตะวา ปะเวเทสิพระผู้มีพระภาคเจ้า
                             พระองค์ใด,ได้ทรงทำความดับทุกข์ ให้
                             แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแล้ว,ทรง
                             สอนโลกนี้พร้อมทั้งเทวดา, มาร พรหม,
                             และหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์,
                             พร้อมทั้งเทวดา และมนุษย์ให้รู้ตาม,
 โย ธัมมัง เทเสสิ,  พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด
                             ทรงแสดงธรรมแล้ว,
อาทิกัลละยาณัง,        ไพเราะในเบื้องต้น,   
มัชเฌกัลละยาณัง,     ไพเราะในท่ามกลาง,          
ปะริโยสานะกัลละยาณัง, ไพเราะในที่สุด,
สาตถัง   สะพะยัญชะนัง  เกวะละปะริปุณณัง
ปะริสุทธัง พรัหมะจะริยัง ปะกาเสสิ,  ทรงประกาศ
                            พรหมจรรย์  คือแบบแห่งการ
                            ปฏิบัติอันประเสริฐ  บริสุทธิ์
                            บริบูรณ์สิ้นเชิง พร้อมทั้งอรรถะ
                            (คำอธิบาย) พร้อมทั้งพยัญชนะ,
ตะมะหัง  ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ, ข้าพเจ้าบูชา
                            อย่างยิ่ง เฉพาะพระผู้มีพระ
                            ภาคเจ้า พระองค์นั้น,
ตะมะหัง  ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ.  ข้าพเจ้า
                            นอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า
                            พระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า,
                            (กราบ)  


É 2.  ธัมมาภิถุติง Ê
           (หันทะ  มะยัง  ธัมมาภิถุติง กะโรมะ เส)

โย โส สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, พระธรรม
                                  นั้นใด, เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระ
                            ภาคเจ้า  ได้ตรัสไว้ดีแล้ว,
สันทิฏฐิโก,                เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติ 
                            พึงเห็นได้ด้วยตนเอง,
อะกาลิโก,                เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ และ
                            ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล,
    เอหิปัสสิโก.          เป็นสิ่งที่ควรกล่าวกะผู้-
                            อื่นว่า ท่านจงมาดูเถิด,
    โอปะนะยิโก,          เป็นสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตัว,
    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ, เป็นสิ่งที่ผู้รู้ ก็รู้ได้เฉพาะตน,
    ตะมะหัง ธัมมัง  อะภิปูชะยามิ,  ข้าพเจ้าบูชา
                          อย่างยิ่ง เฉพาะพระธรรมนั่น,
  ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ,  ข้าพเจ้านอบน้อม
                                พระธรรมนั้น  ด้วยเศียรเกล้า, 
                                (กราบ)

                            É 3.สังฆาภิถุติง Ê
  (หันทะ  มะยัง สังฆาภิถุติง กะโรมะ เส.)

  โย โส สุปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ,                 
                                  สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
                               เจ้านั้น หมู่ใด, ปฏิบัติดีแล้ว,
อุชุปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ,   
                                สงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระ-
                         ภาคเจ้า หมู่ใด,ปฏิบัติตรงแล้ว,
ญายะปะฏิปันโน  ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ,    
                               สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
                              เจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม
                              เป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว,
  สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต  สาวะกะสังโฆ,   
                                 สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค
                                เจ้า หมู่ใด, ปฏิบัติสมควรแล้ว, 
ยะทิทัง,                ได้แก่บุคคลเหล่านี้ คือ
 จัตตาริ  ปุริสะยุคานิ  อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, คู่แห่ง  
                 บุรุษ 4 คู่, นับเรียงตัวบุรุษ ได้ 8 บุรุษ,
เอสะ  ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,  นั่นแหละ สงฆ์-
                 สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้า,
อาหุเนยโย,     เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา,
 ปาหุเนยโย,     เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ,
 ทักขิเณยโย,    เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน,
 อัญชะลิกะระณีโย,  เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทำอัญชลี,
 อะนุตตะรัง  ปุญญักเขตตัง  โลกัสสะ,  เป็นเนื้อนา
                          บุญของโลก, ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า,
 ตะมะหัง สังฆัง  อะภิปูชะยามิ,  ข้าพเจ้าบูชา
                         อย่างยิ่ง เฉพาะพระสงฆ์หมู่นั้น,
 ะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิข้าพเจ้านอบน้อม
                         พระสงฆ์หมู่นั้น ด้วยเศียรเกล้า,
                                (กราบ)

                   É 4.รตนัตตยัปณามคาถา Ê
    (หันทะ  มะยัง  ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย
  เจวะ  สังเวคะปะริกิตตะนะปาฐัญจะ ภะณามะ  เส.)

 พุทโธ  สุสุทโธ  กะรุณามะหัณณะโว,  พระพุทธเจ้าผู้
                          บริสุทธิ์ มีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ,                                     
 โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน,  พระองค์ใด มีตา
                        คือญาณอันประเสริฐ หมดจดถึงที่สุด,
 โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก,  เป็นผู้ฆ่าเสีย
                          ซึ่งบาป และอุปกิเลสของโลก,
 วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง, ข้าพเจ้าไหว้พระ          
                         พุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยใจเคารพเื้อเฟื้อ,
    ธัมโม  ปะทีโป  วิยะ ตัสสะ สัตถุโน, พระธรรมของพระ-
                            ศาสดา สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป,
    โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก, จำแนกประเภท
                             คือ มรรค ผล นิพพาน, ส่วนใด,
    โลกุตตะโร โย  จะตะทัตถะทีปะโน, ซึ่งเป็นตัวโลกุตระ
                             และส่วนใดที่ชี้แนวแห่งโลกุตระนั้น,
วันทามิ  ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง,  ข้าพเจ้าไหว้
                         พระธรรมนั้น  โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ,                                  
   สังโฆ สุเขตตาภะยะติเขตตะสัญญิโต, พระสงฆ์เป็นนา-
                             บุญอันยิ่งใหญ่ กว่านาบุญอันดีทั้งหลาย,
    โย ทิฏฐะสันโต  สุคะตานุโพธะโก,  เป็นผู้เห็นพระ
                            นิพพาน  ตรัสรู้ตามพระสุคต หมู่ใด, 
    โลลัปปะหีโน   อะริโย สุเมธะโส, เป็นผู้ละกิเลสเครื่อง
                             โลเล เป็นพระอริยะเจ้า มีปัญญาดี,
    วันทามิ สังัง อะหะมาทะเรนะ ตัง,  ข้าพเจ้าไหว้
                            พระสงฆ์หมู่นั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ,
    อิจเจวะเมกันตะภิปูชะเนยยะกัง,  วัตถุตตะยัง 
    วันทะยะตาภิสังขะตัง,  ปุญญัง  มะยา ยัง มะมะ 
    สัพพุปัททะวา, มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา,
                           บุญใดที่ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งวัตถุสาม,
                      คือพระรัตนตรัย อันควรบูชายิ่งโดย
                      ส่วนเดียว, ได้กระทำแล้วเป็นอย่างยิ่ง
                      เช่นนี้นี้, ขออุปัทวะ(ความชั่ว)ทั้งหลาย,
                      จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเลย, ด้วยอำนาจ
                      ความสำเร็จ  อันเกิดจากบุญนั้น,   

สังเวคปริกิตตนปาฐะ

อิธะ  ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน,  พระตถาคตเจ้า 
                                 เกิดขึ้นแล้ว ในโลกนี้,
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ,  เป็นผู้ไกลจากกิเลส, ตรัส-
                                       รู้ชอบได้ โดยพระองค์เอง,
ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก,  และพระธรรมที่ทรงแสดง
                                  เป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์,
อุปะสะมิโก  ปะรินิพพานิโก,  เป็นเครื่องสงบกิเลส
                                  เป็นไปเพื่อปรินิพพาน,
สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต, เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม,
                                  เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ,
มะยันตัง ธัมมัง สุตตะวา เอวัง ชานามะ, พวกเราเมื่อได้ฟัง
                                       ธรรมนั้นแล้วจึงได้รู้อย่างนี้ว่า,                      
ชาติปิ  ทุกขา,                  แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์,                                  
ชะราปิ  ทุกขา,                แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์,
มะระณัมปิ  ทุกัง,          แม้ความตายก็เป็นทุกข์,
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา, แม้ความ
                                       โศก ความร่ำไรรำพัน  ความ
                                             ไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ
                                 ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์,
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค  ทุกโข, ความประสบกับสิ่งไม่เป็น
                                ที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์,
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข,  ความพลัดพรากจากสิ่งเป็น-
                                ที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์,
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ  ทุกขัง, มีความปรารถนาสิ่งใด
                             ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์, 
สังขิตเตนะ  ปัญจุปาทานักขันธา  ทุกขา,
                                ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์
                                ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์,                                 
เสยยะถีทัง,                    ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ,     
รูปูปาทานักขันโธ,          ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่ง
                                      ความยึดมั่น คือรูป
เวทะนูปาทานักขันโธ,    ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่ง
                                ความยึดมั่น คือเวทนา,
สัญญูปาทานักขันโธ,      ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่ง
                                ความยึดมั่น คือสัญญา,
สังขารูปาทานักขันโธ,    ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่ง
                                ความยึดมั่น คือสังขาร,
วิญญาณูปาทานักขันโธ, ขันธ์ อันเป็นที่ตั้งแห่ง
                                      ความยึดมั่น คือวิญญาณ,                             
เยสัง  ปะริญญายะ,         เพื่อให้สาวกกำหนดรอบรู้
                               อุปาทานขันธ์ เหล่านี้เอง,
ธะระมาโน โส ภะคะวา,  จึงพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
                                เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่,
เอวัง  พะหุลัง  สาวะเก วิเนติ, ย่อมทรงแนะนำสาวก
                               ทั้งหลาย เช่นนี้เป็นส่วนมาก,
เอวังภาคา จะ ปะนัสสะ  ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนุ-
สาสะนี พะหุลา ปะวัตตะติ, อนึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มี  
                                    พระภาคเจ้านั้น, ย่อมเป็นไป
                                        ในสาวกทั้งหลาย, ส่วนมาก,
                                             มีส่วนคือการจำแนกอย่างนี้ว่า,
     ูปัง อะนิจจัง,               รูปไม่เที่ยง,
     เวทะนา อะนิจจา,         เวทนาไม่เที่ยง,                          
สัญญา อะนิจจา,            สัญญาไม่เที่ยง,
สังขารา อะนิจจา,           สังขารไม่เที่ยง,
วิญญาณัง อะนิจจัง,        วิญญาณไม่เที่ยง,
รูปัง อะนัตตา,              รูปไม่ใช่ตัวตน,
เวทะนา อะนัตตา,          เวทนาไม่ใช่ตัวตน,
สัญญา อะนัตตา,            สัญญาไม่ใช่ตัวตน,
สังขารา อะนัตตา,          สังขารไม่ใช่ตัวตน,
วิญญาณัง อะนัตตา,       วิญญาณไม่ใช่ตัวตน,
สัพเพสังขารา อะนิจจา,  ังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง,
สัพเพธัมมา อะนัตตาติ,  ธรรมทั้งหลายทั้งปวง
                                ไม่ใช่ตัว ตนดังนี้,
เต (ตา) มะยัง โอติณณามะหะ, พวกเราทั้งหลาย
(หญิงว่า)                     เป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว,
ชาติยา,                          โดยความเกิด,
ชะรามะระเณนะ,            โดยความแก่ และความตาย,
โสเกหิ ปะริเทเวหิ  ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ
อุปายาเสหิ,                    โดยความโศก  ความร่ำไร
                                       รำพัน ความไม่สบายกาย 
                                       ความไม่สบายใจ ความคับ
                                       แค้นใจ ทั้งหลาย,
ทุกโขติณณา,                 เป็นผู้ถูกความทุกข์ หยั่งเอาแล้ว,
ทุกขะปะเรตา,               เป็นผู้มีความทุกข์ เป็น
                                       เบื้องหน้าแล้ว,
อัปเปวะนามิมัสสะ  เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ
อันตะกิริยา ปัญญาเยถาติ,  ทำไฉน การทำที่สุด
                                แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้,จะ
                                พึงปรากฏชัด แก่เราได้.
                        É พระภิกษุ–สามเณรว่าÊ

    จิระปะรินิพพุตัมปิ  ตัง ภะคะวันตัง อุทิสสะ อะระหัน 
    ตัง สัมมาสัมพุทธัง เราทั้งหลาย อุทิศเฉพาะพระผู้-             
                            มีพระภาคเจ้า, ผู้ไกลจากกิเลส, 
                            ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง, แม้                      
                            ปรินิพพานนานแล้ว พระองค์นั้น,
    สัทธา อะคารัสะมา อะนะคาริยัง  ปัพพะชิตา, 
                                  เป็นผู้มีศรัทธา ออกบวชจากเรือน
                            ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว,
    ตัสะมิง  ภะคะวะติ  พรัหมะจะริยัง  จะรามะ, 
                                  ประพฤติอยู่ซึ่งพรหมจรรย์ ใน
                            พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น,
    ภิกขูนัง  สิกขาสาชีวะสะมาปันนา, ถึงพร้อมด้วย
                                  สิกขา และธรรมเป็นเครื่อง
                            เลี้ยงชีวิต ของภิกษุทั้งหลาย,
    ตัง โน พรัหมะจะริยัง  อิมัสสะ  เกวะลัสสะ
    ทุกขักขันธัสสะ  อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ. 
                                  ขอให้พรหมจรรย์ของเราทั้งหลาย
                            นั้น, จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุด
                            แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ เทอญ.







                  É อุบาสก-อุบาสิกาว่าÊ

จิระ  ปะรินิพพุตัมปิ  ตัง ภะคะวันตัง สะระณัง
คะตา,                      เราทั้งหลาย ผู้ถึงแล้วซึ่งพระผู้-
                            มีพระภาคเจ้า  แม้ปรินิพพาน
                          นานแล้ว พระองค์นั้น เป็นสรณะ,
ธัมมัญจะ สังฆัญจะ, ถึงพระธรรมด้วย ถึงพระสงฆ์ด้วย,
ตัสสะ   ภะคะวะโต   สาสะนัง ยะถาสะติ ยะถา
พะลัง  มะนะสิกะโรมะ  อะนุปะฏิปัชชามะ,  
                          จักทำในใจอยู่ ปฏิบัติตามอยู่ 
                          ซึ่งคำสั่งสอน  ของพระผู้มี
                          พระภาคเจ้านั้น ตามสติกำลัง,
สา สา โน ปะฏิปัตติ,  ขอให้ความปฏิบัตินั้นๆ
                                ของเราทั้งหลาย,
อิมัสสะ  เกวะลัสสะ  ทุกขักขันธัสสะ อันตะ
กิริยายะ สังวัตตะตุ, จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุด
                           แห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ เทอญ.

                                   จบทำวัตรเช้า